top of page

Why should you care about True Power Factor (TPF) and Displacement Power Factor (DPF)?

Truewatts

เมื่อพูดถึงระบบไฟฟ้า, Power Factor (PF) หรือ ตัวประกอบกำลังไฟฟ้า คือหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่จะบ่งบอกถึงความมีประสิทธิภาพของการใช้พลังงานในระบบไฟฟ้า PF ช่วยบอกเราได้ว่า เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือระบบไฟฟ้าใช้งานพลังงานได้มีประสิทธิภาพเพียงใด

เมื่อ Power Factor มีค่าใกล้เคียงกับ 1.0 (หรือ 100%) หมายความว่า ระบบไฟฟ้ากำลังใช้งานพลังงานอย่างเต็มที่โดยไม่มีการสูญเสียที่มากเกินไป แต่เมื่อ Power Factor ลดลงไปก็จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ซึ่งอาจทำให้เกิดความสูญเสียพลังงานและมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในระยะยาว

เมื่อ Power Factor (PF) ต่ำ ระบบไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพลดลงในหลายด้าน ดังนี้:


1. กระแสไฟฟ้าสูงขึ้น

  • เมื่อ Power Factor ต่ำ ระบบต้องการ กระแสไฟฟ้า มากขึ้นเพื่อให้ได้ พลังงานจริง (Real Power) เท่าเดิม เพราะ Reactive Power จะทำให้ Apparent Power (พลังงานที่ดูเหมือนจะถูกใช้) เพิ่มขึ้น

  • กระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นจะทำให้เกิด การสูญเสียพลังงาน (I²R losses) ในสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ ประสิทธิภาพ ของการใช้พลังงานลดลง

  • การเพิ่มกระแสไฟฟ้ายังอาจทำให้ อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น หม้อแปลง (Transformers) หรือ สายไฟ ต้องรองรับกระแสที่สูงขึ้น ทำให้เกิด ความร้อน และ การสึกหรอ ของอุปกรณ์เร็วขึ้น

2. แรงดันไฟฟ้าตก (Voltage Drop)

  • การที่ระบบมี Power Factor ต่ำ จะส่งผลให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านสายไฟมากขึ้น ทำให้เกิด การตกของแรงดัน (Voltage Drop) บนสายไฟ

  • แรงดันที่ตก อาจทำให้ อุปกรณ์ไฟฟ้า ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เช่น มอเตอร์หรือเครื่องจักรไม่สามารถทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้ ซึ่งส่งผลให้ระบบ ทำงานไม่เสถียร และ ประสิทธิภาพลดลง

3. ภาระที่มากขึ้นสำหรับผู้ให้บริการไฟฟ้า

  • เมื่อ Power Factor ต่ำ ผู้ให้บริการไฟฟ้าจะต้องผลิตพลังงานมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งที่พลังงานบางส่วน (Reactive Power) ไม่ได้ใช้ทำงานจริง แต่ยังคงต้องจ่ายพลังงานเพื่อรองรับภาระนี้

  • ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในระบบไฟฟ้า จะสูงขึ้นทั้งสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ให้บริการ

4. ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

  • ในบางกรณี ผู้ให้บริการไฟฟ้า อาจคิดค่าปรับ Power Factor เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในระบบไฟฟ้าและทำให้การใช้งานไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

 

ในบทความนี้เราจะพูดถึง Power Factor และแบ่งแยกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ Displacement Power Factor (DPF) และ True Power Factor (TPF) พร้อมอธิบายว่าเหตุใดเราจึงควรให้ความสนใจกับทั้งสองประเภทนี้

1. Displacement Power Factor (DPF)

Displacement Power Factor (DPF) คือ ตัวประกอบกำลังไฟฟ้าที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างแรงดัน (Voltage) และกระแสไฟฟ้า (Current) ที่มีการเลื่อนเฟส (Phase Shift) โดยวัดจาก มุมเฟส ของกระแสที่ล่าช้าหรือเร็วกว่าค่าของแรงดันที่กำหนดในระบบไฟฟ้า ซึ่งในระบบไฟฟ้าที่มีการใช้ โหลดเชิงเส้น (Linear Load) เช่น มอเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่เกิดการบิดเบือน (Distortion) จะมี DPF ที่สัมพันธ์กับการเลื่อนเฟสในระดับที่สามารถคำนวณได้ง่าย

2. True Power Factor (TPF)

True Power Factor (TPF) คือ ตัวประกอบกำลังไฟฟ้าที่รวมทั้ง มุมเฟส (Phase Shift) และ การบิดเบือนของคลื่นกระแส (Current Waveform Distortion) ซึ่งอาจเกิดขึ้นจาก โหลดที่ไม่เป็นเชิงเส้น (Non-Linear Load) เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ หรือการใช้ ตัวขับความเร็วตัวแปร (VSD) ซึ่งสร้างฮาร์มอนิกส์ในกระแสที่ทำให้เกิดการบิดเบือนในคลื่นกระแส

 

 

ทำไมต้องสนใจ DPF?


  • การลดกำลังไฟฟ้าที่สูญเสีย: การที่กระแสไฟฟ้าเลื่อนเฟสจากแรงดันจะทำให้เกิด กำลังไฟฟ้าเชิงรีแอกทีฟ (Reactive Power) ซึ่งไม่สามารถทำงานได้จริง

DPF แสดงถึงประสิทธิภาพของการส่งพลังงานจริงในระบบ ยิ่ง DPF อยู่ใกล้ 1.0 เท่าใดระบบไฟฟ้าก็จะยิ่งแปลงพลังงานที่ให้มาให้เป็นงานที่มีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น DPF ที่ต่ำบ่งชี้ถึงระบบนั้นไม่สามารถใช้พลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เกิดความสูญเสียพลังงานในระบบ

  • การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ: การปรับปรุง DPF ให้สูงขึ้น (ใกล้ 1.0) โดยการใช้ ตัวเก็บประจุ (Capacitor) จะช่วยให้ลดการสูญเสียพลังงานและช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีการใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


 

ทำไมต้องสนใจ TPF?

  • การลดผลกระทบจากฮาร์มอนิกส์: ฮาร์มอนิกส์ที่เกิดจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องจักรที่ใช้พลังงานไม่เป็นเชิงเส้นจะมีผลกระทบต่อทั้ง DPF และ TPF โดยการเกิดการบิดเบือนในคลื่นกระแสทำให้ TPF ต่ำลง ซึ่งทำให้มีพลังงานที่สูญเสียไปมากขึ้น แม้ว่า DPF อาจจะยังดีอยู่ก็ตาม

  • การเพิ่มประสิทธิภาพระบบที่มีฮาร์มอนิกส์: ในระบบที่มี ฮาร์มอนิกส์ มากๆ เราจำเป็นต้องติดตั้ง ฟิลเตอร์ฮาร์มอนิกส์ (Harmonic Filters) เพื่อช่วยแก้ไขทั้ง DPF และ TPF โดยการลดการบิดเบือนของคลื่นกระแสและปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน

 

DPF vs. TPF: เมื่อไหร่ควรสนใจทั้งสอง?


1. ถ้าคุณมีโหลดเชิงเส้น (Linear Load):

  • ถ้าโหลดในระบบไฟฟ้าของคุณเป็นโหลดเชิงเส้น เช่น มอเตอร์ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปที่ไม่เกิดฮาร์มอนิกส์ การปรับปรุง DPF จะเพียงพอในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เนื่องจากมุมเฟสระหว่างแรงดันและกระแสมีความสำคัญในกรณีนี้

2. ถ้าคุณมีโหลดไม่เป็นเชิงเส้น (Non-Linear Load):

  • หากระบบของคุณมี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องจักรที่ใช้พลังงานไม่เป็นเชิงเส้น (เช่น คอมพิวเตอร์, VSD, แหล่งจ่ายไฟที่ใช้พลังงานแบบแปลงสัญญาณ) ที่สร้าง ฮาร์มอนิกส์ การพิจารณา TPF ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะ TPF จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของการสูญเสียพลังงานจากทั้งการบิดเบือนของคลื่นกระแสและการเลื่อนเฟส

 

จากตัวอย่างจริง ตามภาพด้านล่าง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในระบบที่มีฮาร์มอนิกส์สูง จะส่งผลให้ค่า TPF และ DPF มีค่าต่างกันอย่างชัดเจน




สรุป

Power Factor (PF) คือ ปัจจัยที่สำคัญในการวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระบบไฟฟ้า โดยการคำนวณ Power Factor จะช่วยให้เราเข้าใจการใช้พลังงานจริงๆ โดยเฉพาะในเรื่องของ Displacement Power Factor (DPF) และ True Power Factor (TPF) ที่แต่ละประเภทมีบทบาทต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของโหลดในระบบ

การสนใจ DPF จะเหมาะสมกับระบบที่มีโหลดเชิงเส้นและไม่มีฮาร์มอนิกส์ ในขณะที่ TPF จะมีความสำคัญมากขึ้นในระบบที่มีโหลดไม่เป็นเชิงเส้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการบิดเบือนคลื่นกระแส การเข้าใจทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และลดการสูญเสียพลังงานในระบบไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สนใจให้ทางทรูวัตส์ เข้าไปตรวจวัดระบบของท่าน สามารถติดต่อได้ที่ Info@Truewatts.co.th



 
 
 

コメント


©2023 - 2024 | TrueWatts | All Right Reserved

bottom of page